วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560


สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)



ชื่อ : กรรณิการ์
ชื่อวิทยาสาสตร์ :Nyctanthes arbor-tristis L.
ลักษณะ :เป็นไม้พุ่มกึ่งไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ไม่ผลัดใบ สูงประมาณ 3 5 เมตร ลำต้นสีน้ำตาลขรุขระ ใบเดี่ยวรูปไข่ ปลายแหลม โคนมน โดยดอกจะออกเป็นช่อช่อละประมาณ 3 7 ดอก สีขาว มีกลิ่นหอม
ประโยชน์ :ลำต้น ใช้สำหรับแก้อาการปวดศีรษะ แก้ไข้ ปวดข้อ โดยมีรสขมเย็น หวานๆ ฝาดๆเปลือก นำเปลือกทั้งต้นชั้นในมาต้มสำหรับดื่มแก้อาการปวดศีรษะได้ดี ให้รสขมเย็นดอกใช้สำหรับแก้อาการวิงเวียนศีรษะ แก้ไข้ ให้รสขมหวานใบ ใช้แก้แก้อาการไข้ ปวดข้อ ตานขโมย บำรุงน้ำดี ตลอดจนเจริญอาหาร ให้รสขมราก ช่วยแก้อาการไอ แก้พรรดึก

ชื่อ :กัลปพฤกษ์
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cassia bakeriana
ลักษณะ : ไม้ยืนต้นขนาดกลาง ความสูงประมาณ 10-15 เมตร เปลือกนอกสีเทาลำต้นมีรอยเป็นเส้นเล็กน้อยแตกกิ่งก้านพุ่งสู่ด้านบนไม่ค่อยเป็นระเบียบ ใบเป็นแผงมีใบย่อยประมาณ 5-6 คู่ออกเรียงตรงกันตามก้านใบเป็นคู่ๆใบบางเรียบปลายใบแหลม ขนาดของใบกว้างประมาณ 2-4 เซนติเมตร ใบยาวประมาณ 4-7 เซนติเมตร
ประโยชน์ :เนื้อในฝักเป็นยาระบายอ่อนๆ เปลือกฝักและเมล็ดทำให้อาเจียน ลดไข้ปลูกเป็นไม้ประดับ

ชื่อ :โกสน
ชื่อวิทยาศาสตร์ :Codiaeumvariegatium.Blume.
ลักษณะ :โกสนเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก มีลำต้นสูงประมาณ 1-2 เมตร และสูงได้มากกว่านี้ ลำต้นมีสีเทา เปลือกลำต้นบาง เนื้อไม้เป็นไม้เนื้อแข็ง แตกกิ่งตั้งแต่ระดับล่างของลำต้น แตกกิ่งน้อย แต่ให้ใบดกใหญ่ จนมองเป็นทรงพุ่มหนา ใบโกสน ออกเป็นใบเดี่ยว ออกเยื้องกันบนกิ่งใกล้ปลายใบ ใบมีหูใบ มีหลากหลายสี ดอกโกสนออกเป็นช่อ ภายในมีเกสรตัวเมีย 3 อัน แต่ละอันแยกเป็น 2 แฉก ผลมี 3 ห้อง ภายในมี 3-6 เมล็ด
ประโยชน์ :ใบโกสนใช้แก้โรคทางเดินปัสสาวะขัด ชาวบ้านนำเอายอดอ่อนมาเป็นผักจิ้มน้ำพริก ผักแกล้มลาบ ซึ่งคาดว่าไม่ได้กินในปริมาณมาก และได้เด็ดมาล้างน้ำให้ยางเหลือน้อยลงแล้ว

ชื่อ :กำแพงเงิน
ชื่อวิทยาศาสตร์ :Dianellacaerulea Sims
ลักษณะ :ป็นไม้พุ่มสูง  50 - 70  ซ.ม.  ลำต้นเรียวเล็ก   ใบเรียงถี่แน่น   และแผ่ออกคล้ายพัด   รูปแถบยาวโคนใบเป็นกาบหุ้มติดกันและหุ้มรอบต้น   ใบยาว  30 - 60  ซ.ม.  สีเขียวเข้มอมเทา   มีเส้นสีขาวแทรกอยู่ทั่วใบ   ขอบใบด่างเป็นแถบสีขาวนวล    ช่อดอกยาวชูสูงขึ้นเป็นช่อแบบแขนง    ดอกขนาดเล็ก     กลีบดอกสีขาวอมม่วงปนเทา    อับเรณูสีเหลืองสด   ผลขนาดเล็กสีม่วงดำ  ปลูกไว้ทั้งกลางแจ้ง และแสงรำไร
ประโยชน์ :ปลูกประดับรั้ว ริมถนน

ชื่อ :เข็มม่วง
ชื่อวิทยาศาสตร์ :PseuderanthemumandersoniiLindau
ลักษณะ :ไม้พุ่มขนาดเล็ก แตกกิ่งก้านจำนวนมาก ทรงพุ่มแน่นทึบ ใบเดี่ยว  เรียงเวียนสลับ ใบรูปรี กว้าง 5-7 เซนติเมตร ยาว 10-15 เซนติเมตร ปลายใบแหลมโคนใบแหลมหรือมน  ขอบใบเรียบ แผ่นใบสีเขียวสดเป็นมัน เส้นใบสีเขียวเข้ม ดอก สีฟ้าอมม่วงหรือม่วง   ออกเป็นช่อแบบช่อฉัตรที่ปลายกิ่ง ใบประดับสีเขียวเข้ม โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดเล็กยาว ปลายแยกเป็น 5 กลีบ สองกลีบบนติดกันเป็นคู่และมีขนาดเล็กกว่าสามกลีบล่างกลีบตรงกลางสองอันอยู่ตรงข้ามกันกางออกด้านข้าง กลีบล่าง 1 กลีบมีสีขาวแต้มตรงกลาง
ประโยชน์ :ชาวบ้านจะใช้ทั้งต้นรวมรากนำมาต้มกินเป็นยา ว่ากันว่าสามารถช่วยต้านอนุมูลอิสระได้ (ทั้งต้น)ชาวเขาเผาแม้วและกะเหรี่ยงจะใช้ต้นนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงร่างกาย แก้อาการอ่อนเพลีบ (ต้น)ต้นใช้ต้มกับน้ำดื่มช่วยรักษาโรคริดสีดวงทวาร (ต้น)

ชื่อ :จำปา
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Magnolia champaca
ลักษณะ :ไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 15-30 เมตร ลำต้นตรง ทรงพุ่มโปร่งเป็นรูปกรวยคว่ำ ค่อนข้างโปร่ง แตกกิ่งจำนวนมากที่ยอด เปลือกสีเทาอมขาว มีกลิ่นฉุน
ประโยชน์ :ใบ แก้โรคเส้นประสาทพิการ แก้ป่วงของทารกดอก แก้วิงเวียนอ่อนเพลีย หน้ามืดตาลาย บำรุงหัวใจ กระจายโลหิตเปลือกต้นฝาดสมาน แก้ไข้ ทำให้เสมหะในลำคอเกิด

ชื่อ :กระทิง
ชื่อวิทยาศาสตร์ :Calophylluminophyllum
ลักษณะ :เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่สูง 20 25 เมตร เปลือกเรียบสีเทาอ่อนหรือน้ำตาลปนเหลือง เปลือกในสีชมพูเนื้อไม้สีน้ำตาลปนแดง ใบเป็นใบเดี่ยว ไม่ผลัดใบ เรือนยอดเป็นพุ่มกลม สีเขียวเข้ม กิ่งอ่อนเกลี้ยง ยอดอ่อนเรียวเล็ก ปลายทู่ ออกดอกเป็นช่อสั้นที่ซอกใบบริเวณปลายกิ่ง มีดอกย่อย กลีบดอกสีขาว เกสรเพศผู้สีเหลือง มีกลิ่นหอม
ประโยชน์ :ทั้งต้นมีรสเมาและฝาดเล็กน้อย ใช้เป็นยาสุขุม มีพิษเล็กน้อย (ทั้งต้น)ดอกมีรสหอมเย็น ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ แก้อาการการเต้นของหัวใจผิดปกติ และใช้ปรุงเป็นยาหอม (ดอก, ดอกและใบ) ดอกใช้เป็นยาชูกำลัง (ดอก)

ชื่อ :นีออน
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Leucophyllumfrutescens(Berl.) I.M. Johnst.
ลักษณะ :เป็นไม้พุ่มขนาดกลางลำต้นแตกกิ่งก้านจำนวนมาก กิ่งชูตั้งขึ้น ทรงพุ่มแน่นทรงพุ่มสูง 1 - 2 เมตร ลักษณะใบเดี่ยว ผิวใบด้านบนสีเขียวอมเทา มีผิวสัมผัสใบละเอียด ออกเรียงเวียนสลับ ใบเป็นรูปใข่กลับถึงรูปรีกว้าง 1-1.5 เซนติเมตรยาว 2-2.5 ซม. ปลายใบมน โคนใบสอบ ขอบใบเรียว มีขนอ่อนนุ่มสีขาวปกคลุมจึงดูคล้ายใบสีเทา มักบิดห่อขึ้นเล็กน้อย ดอกมีสีม่วงสดถึงชมพูอมม่วงแดง ออกดอกเดี่ยวตามซอกใบปลายกิ่ง โคนกลีบดอกเป็นสีม่วงจางโคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 5 แฉก มีขมนุ่มขนาดเล็กปกคลุม ดอกบานเต็มที่กว้าง 1-2 ซม. ออกดอกตลอดปี และมักออกดอกพร้อมกันทั้งต้น
ประโยชน์ : ปลูกเป็นไม้ประดับ

ชื่อ :บัวสาย
ชื่อวิทยาศาสตร์ :Nymphaea lotus
ลักษณะ :มีลำต้นใต้ดินเป็นหัว หรือเหง้า ลักษณะคล้ายหัวเผือก ใบเดี่ยวแตกจากเหง้า ก้านใบยาว อ่อน ส่งใบขึ้นมาลอยบนผิวน้ำ แผ่นใบค่อนข้างกลม ผิวใบด้านบนเรียบเป็นมัน ด้านล่างมีขนละเอียด ดอกเป็นดอกเดี่ยว ก้านดอกเหมือนก้านใบ
ประโยชน์ :ก้านดอกนำมาทำอาหาร   ก้านใบ หรือสายบัว มีรสจืด ช่วยบรรเทาความร้อนในร่างกายได้ดีดอกมีฤทธิ์บำรุงหัวใจ บำรุงกำลัง แก้ไข้ตัวร้อน และบำรุงครรภ์หัวใช้บำรุงร่างกาย บำรุงครรภ์ บำรุงหัวใจ บำรุงธาตุ        

ชื่อ :ประทัดจีน
ชื่อวิทยาศาสตร์ :Russeliaequisetiformis
ลักษณะ :ไม้พุ่มขนาดเล็ก ลำต้นมีข้อปล้อง แตกกอ แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มแน่น ใบเดี่ยว เรียงเป็นวงรอบ ใบรูปเข็มเป็นเส้นเล็กๆเรียว  ยาว 1.5-2 เซนติเมตร ปลายใบแหลมเป็นติ่ง โคนใบแหลม แผ่นใบสีเขียวสด ก้านใบสั้น ร่วงง่ายดอก สีแดงสด หรือสีส้ม  เป็นมัน  ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกที่ปลายกิ่ง  ช่อดอกยาวประมาณ 3 เซนติเมตร  ช่อละ 2-4 ดอก   โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดเเคบ  ปลายแยกเป็น 5 แฉกเล็กๆ
ประโยชน์ :เนื้อไม้นำมาดองกับเหล้า ใช้กินเป็นยาเพื่อช่วยทำให้เจริญอาหาร (เนื้อไม้)รากประทัดจีน มีรสชาติขม ใช้เป็นยาแก้ไข้ ไข้จับสั่น (ราก)รากมีสรรพคุณช่วยขับน้ำลาย (ราก)

ชื่อ :พุดสามสี
ชื่อวิทยาศาสตร์ :BrunfelsiahopeanaBenth. หรือ Brunfelsiauniflora(Pohl) D. Don
ลักษณะ :เป็นไม้พุ่ม สูงเต็มที่ราว 6 ฟุต มีกิ่งก้านสาขาเจริญงอกงามเป็นพุ่มหนา ใบมนรีปลายแหลมใบเกลี้ยงยาวราว 6 นิ้ว ดอกออกตามข้อต้น โคนก้านใบหรือปลายกิ่ง เป็นดอกราชั้นเดียวมี 5 กลีบ กลีบย่น กว้างประมาณ 1 นิ้ว ดอกแรกบานเป็นสีม่วงแก่ อีกวันหนึ่งดอกจะเป็นสีม่วงอ่อน วันที่สามจะกลายเป็นสีขาว พอวันที่สี่ดอกก็โรย ดอกมีกลิ่นหอมแรงส่งกลิ่นตั้งแต่เย็นถึงเช้า เมื่อจวนโรยกลิ่นจะจางลง
ประโยชน์ :เป็นไม้ที่นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ

ชื่อ : รัตมา
ชื่อวิทยาศาสตร์ :Parkinsoniaaculeata L.
ลักษณะ : ไม้ต้นขนาดเล็ก   ไม่ผลัดใบ  เรือนยอดรูปทรงไม่แน่นอน โปร่ง แตกกิ่งก้านแผ่กว้าง กิ่งก้านลู่ลง ลำต้นและกิ่งก้านมีหนามแหลม เปลือกต้นสีน้ำตาลอ่อนปนเขียวถึงเขียวคล้ำ ใบประกอบขนนกสองชั้น เรียงสลับ ใบรูปไข่ กว้าง 1-2 มิลลิเมตร ยาว 3-8 มิลลิเมตร ปลายใบมน โคนใบรูปลิ่ม ขอบใบเรียบ หูใบเป็นหนาม ก้านใบย่อย 2-4 คู่ดอก  สีเหลือง  กลิ่นหอม ออกเป็นช่อแบบช่อกระจะตามซอกใบที่ปลายกิ่ง โคนกลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันปลายแยกเป็น 5 แฉก มีชนปกคลุม กลีบดอก 5 กลีบ มี 1 กลีบประสีแดง ดอกบานเต็มที่กว้าง 1.5-2 เซนติเมตร 
ประโยชน์ :ปลูกเป็นไม้ประดับ 

ชื่อ :ลั่นทมขาว
ชื่อวิทยาศาสตร์ :Plumeria alba L.
ลักษณะ :เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดเล็ก  แตกกิ่งก้านสาขาออกไป  มีกิ่งก้านที่เปราะและอุ้มน้ำลำต้นสูงประมาณ 4-6 เมตร  และมีน้ำยางสีขาว ใบออกเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับกันไปแบบขั้นบันได  แต่ใบจะไปดกที่ปลายกิ่ง  ลักษณะของใบเป็นรูปไข่กลับตรงปลายมน  โคนใบสอบแคบ ขอบใบเรียบ ด้านบนมีผิวมันสีเขียวเข้ม ส่วนด้านล่างมีขนสั้นๆ ประปราย และมองเห็นเส้นใบได้ชัดเจน  ขนาดของใบกว้างประมาณ2-3.5 นิ้ว  ก้านใบยาว 2-2.5 นิ้ว ออกดอกเป็นช่ออยู่ตรงส่วนยอดของต้น  ดอกเป็นรูปกรวย  ภายในหลอดดอก  จะมีขนประปราย ผลเป็นฝักยาวเรียบ  มีผิวเกลี้ยงยาวประมาณ 6-11 นิ้ว ภายในมีเมล็ดเป็นรูปแบนๆ อยู่เป็นจำนวนมาก
ประโยชน์ :น้ำยางใช้ใส่แผล ทาแก้โรคงูสวัด  หิด  เมล็ดเป็นยาระบาย  ขับน้ำเหลือง แก้โรคงูสงัด  แผลจากฟิลิส

ชื่อ :ประดู่แดง
ชื่อวิทยาศาสตร์ :PhyllocarpusseptentrionalisDonn. Smith
ลักษณะ :ไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่มีความสูงประมาณ 10 -12 เมตร ผิวเปลือกลำต้นมีสีน้ำตาลอ่อน เรือนยอดแผ่กว้างกิ่งลู่ลง ผลัดใบ ใบเป็นรูปมนรีออกเป็นคู่ สลับกันตามลำต้น ลักษณะของใบปลายแหลม โคนใบมน ขอบใบเรียบ มีสีเขียว ออกดอกเป็นช่อ ช่อดอกสีแดงสด ดอกจะบานไม่พร้อมกัน จะทยอยกันบานไล่ขึ้นไปตั้งแต่โคนก้านช่อจนถึงปลายช่อ เวลาบานจะแดงสพรั่งทั้งต้น เกสรยาวยื่นออกมากลางดอก ดอกมีกลิ่นหอม
ประโยชน์ :เปลือกต้นมีรสฝาดจัด มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงร่างกาย (เปลือกต้น)แก่นเนื้อไม้ประดู่ มีรสขมฝาดร้อน มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงโลหิต บำรุงกำลัง บำรุงธาตุในร่างกาย (แก่น)แก่นเนื้อไม้ใช้ต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้ไข้ แก้พิษไข้ (แก่น)ส่วนรากใช้เป็นยาแก้ไข้ แก้พิษไข้ (ราก)

ชื่อ :กระดังงาสงขลา
ชื่อวิทยาศาสตร์ :Canangafruticosa
ลักษณะ :ไม้พุ่ม สูง 1-3 เมตร ใบ ใบเดี่ยว ออกสลับ รูปรี กว้าง 6-8 เซนติเมตร ยาว 12-14 เซนติเมตร ปลายแหลม โคนมน ขอบใบเรียบหรือหยักเล็กน้อย ดอก สีเหลืองอมเขียว กลิ่นหอม ออกเดี่ยว หรือเป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง กลีบดอกเรียวยาว บิดเป็นเกลียว เรียงหลายชั้น ๆ ละ 3 กลีบ ปลายกรีบโค้งงอ เกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียมีจำนวนมาก
ประโยชน์ :ปลูกเป็นไม้ประดับ มีดอกดกสวยงาม เนื้อไม้และใบ ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ดอก ปรุงเป็นยาหอม สกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย แก้ลมวิงเวียน ทำบุหงา อบร่ำ ทำน้ำหอม บำรุงหัวใจ

ชื่อ :ไทรย้อยใบแหลม
ชื่อวิทยาศาสตร์ :Ficusbenjamina
ลักษณะ :ไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ลำต้นมีความสูงประมาณ 10-20 เมตร ลำต้นตรงแตกกิ่งก้านเป็นพุ่มทึบ บางชนิดก็เป็นพุ่มโปร่ง มีรากอากาศห้อยลงมาตามกิ่งก้านและลำต้น ผิวเปลือกเรียบสีขาวปนเทา ใบเป็นใบเดี่ยวแตกออกจากกิ่ง และส่วนยอดของลำต้น ใบออกเป็นคู่สลับกัน ลักษณะใบ ขนาดใบ และสีสันแตกต่างกันตามชนิดย่อย
ประโยชน์ :ตำรายาไทยใช้ รากอากาศ ขับปัสสาวะ แก้ไตพิการ ปัสสาวะพิการ แก้กษัย

ชื่อ : กระดังงาสงขลา
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Canangafruticosa มีชื่อสามัญอื่นคือ Dwarf Ylang-Ylang
ลักษณะ : ลักษณะ:ไม้พุ่ม สูง 1-3 เมตร ใบ ใบเดี่ยว ออกสลับ รูปรี กว้าง 6-8 เซนติเมตร ยาว 12-14 เซนติเมตร ปลายแหลม โคนมน ขอบใบเรียบหรือหยักเล็กน้อย ดอก สีเหลืองอมเขียว กลิ่นหอม ออกเดี่ยว หรือเป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง กลีบดอกเรียวยาว บิดเป็นเกลียว เรียงหลายชั้น ๆ ละ 3 กลีบ ปลายกรีบโค้งงอ เกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียมีจำนวนมาก ใบ ปลายแหลม โคนมน ขอบใบเรียบหรือหยักเล็กน้อย
ดอกสีเหลืองอมเขียว กลิ่นหอม ออกเดี่ยว หรือเป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง กลีบดอกเรียวยาว บิดเป็นเกลียว เรียงหลายชั้น ละ 3 กลีบ ปลายกลีบโค้งงอ เกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียมีจำนวนมาก ออกดอกเกือบตลอดปี
ประโยชน์:ปลูกเป็นไม้ประดับ มีดอกดกสวยงาม เนื้อไม้และใบ ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ดอก ปรุงเป็นยาหอม สกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย แก้ลมวิงเวียน ทำบุหงา อบร่ำ ทำน้ำหอม บำรุงหัวใจ

ชื่อ : ไทรย้อยใบแหลม
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ficusbenjaminaอังกฤษ: Weeping fig, Ficus tree
ลักษณะ : ไทร เป็นไม้ยืนต้น มีความสูงสูงสุด 10 เมตร โดยประมาณ มีรากอากาศย้อยสวยงาม น้ำยางขาว
ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปวงรี รูปใบหอกหรือรูปไข่แกมวงรี ดอก เป็นดอกช่อ เกิดภายในฐานรองดอกที่มีรูปร่างกลมคล้ายผล ออกเป็นคู่ที่ซอกใบ แยกเพศอยู่ในช่อเดียวกัน
ประโยชน์ : ตำรายาไทยใช้ รากอากาศ ขับปัสสาวะ แก้ไตพิการ (โรคเกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะ มีปัสสาวะขุ่นข้น เหลืองหรือแดง มักมีอาการแน่นท้อง กินอาหารไม่ได้) ปัสสาวะพิการ (อาการปัสสาวะปวด หรือกะปริบกะปรอย หรือขุ่นข้น สีเหลืองเข้ม หรือมีเลือด) แก้กษัย (อาการป่วยที่เกิดจากหลายสาเหตุ ทำให้ร่างกายเสื่อมโทรม ซูบผอม โลหิตจาง ปวดเมื่อย)

ชื่อ : ลั่นทมแดง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Plumeriaacuminata Aiton 
ลักษณะ : ไม้พุ่ม    สูง 3-6 ม. ลำต้นและกิ่งก้านผิวขรุขระและอวบ สีน้ำตาลปนเทา มีน้ำยางสีขาวใบ ใบเรียงเวียนสลับถี่บริเวณปลายกิ่ง ใบเดี่ยวรูปไข่กลับแกมรูปหอก กว้าง 5-10 ซม. ยาว 12-30 ซม. โคนใบสอ ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ก้านใบกลมสีเขียวอ่อน มีขนปกคลุม    เส้นใบหนานูนมองเห็นชัดเจน ท้องใบแข็งสีเขียว หลังใบสีเขียวอ่อนดอก ดอกช่อออกที่ซอกใบใกล้ปลายกิ่ง โคนกลีบดอกเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 5 แฉก ซ้อนเหลื่อมกัน ปลายกลีบแหลมหรือมีติ่งแหลม และปลายกลีบไม่โค้งไปทางหลอดดอกมากนัก เมื่อดอกย่อยบานมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 5 ซม. กลีบดอกสีชมพูแดง ก้านดอกมีสีม่วงแดงผล ผลเป็นฝักคู่ รูปยาวรี กว้าง 2-3 ซม. ยาว 10-12 ซม. เมล็ดมีจำนวนมากและมีขน ลักษณะแบน มีปีก
ประโยชน์ : เปลือกต้น แก้ไข้ ยาถ่ายขับระดู แก้ปวดฟัน แก้คันเนื้อไม้ แก้ไอ ขับพยาธิแก่น คุมกำเนิด ถ่ายพิษ แก้ผิวหนังใบ แก้บาดทะยัก แก้ปวดบวม รักษาหืดเปลือกราก เป็นยาถ่ายอย่างแรง แก้การขับถ่ายผิดปกติของน้ำเมือกฝักแห้ง ฝนน้ำทาแก้ริดสีดวงทวารน้ำยาง แก้ปวดฟัน

ชื่อ : เทียนกิ่ง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Lawsoniainermis L.
ลักษณะ : เป็นไม้พุ่ม  มีถิ่นอาศัยเป็นพืชบก  ขึ้นอยู่กลางแจ้ง ความสูง  3-เมตร  รูปร่างทรงพุ่มเป็นทรงกลม  ชนิดของลำต้น  เป็นลำต้นเหนือดิน ตั้งตรงได้เอง ผิวลำต้นหยาบ  ขรุขระ  เห็นข้อปล้องไม่ชัดเจน  ลำต้นอ่อนมีสีเทาปนน้ำตาล   ลำต้นแก่มีสีน้ำตาล  ไม่มีน้ำยาง  มีใบเป็นใบเดี่ยว  สีของใบอ่อนเป็นสีเขียวอ่อน ใบแก่ สีเขียวเข้ม  การเรียงตัวของใบบนกิ่งเรียงแบบตรงข้าม  ขนาดของแผ่นใบ กว้าง  1-เซนติเมตร  ยาว  3-เซนติเมตร  รูปร่างของแผ่นใบเป็นรูปไข่  ปลายใบเรียวแหลม โคนใบแหลม  ขอบเรียบ  มีดอกเป็นแบบดอกช่อ  ดอกมีสีนวล ตำแหน่งที่ออกดอก คือ ปลายยอด กลีบเลี้ยงสีเขียวอ่อนแยกกัน จำนวน 4 กลีบ กลีบดอกสีขาวนวลแยกกัน ประมาณ  4  กลีบ  มีเกสรเพศผู้สีเขียว มีจำนวน  8  อัน   และเกสรเพศเมียสีน้ำตาล  จำนวน  5  อัน สีเหลืองอ่อน   มีตำแหน่งของรังไข่อยู่เหนือวงกลีบ   ดอกมีกลิ่นหอมอ่อน  ผลกลมติดเป็นพวง ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีน้ำตาล  เมล็ดสีน้ำตาลเข้มจำนวนมาก
ประโยชน์ : ใบเทียนกิ่งมีสารแนพธาคิวโนนไกลโคไซด์ เรียกว่าลอโซน (Lawsone) มีสรรพคุณฆ่าเชื้อหนอง และสารแทนนิน แก้โรคท้องร่วงและใช้ใบเทียนเป็นสีย้อมผม เครา และเล็บ ติดแน่นดี จึงเรียกว่า เทียนย้อม

ชื่อ : ทองหลางลาย
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Erythrinavariegata
ลักษณะ : ไม้ยืนต้นผลัดใบ สูง 5-10 เมตร กิ่งอ่อนมีหนามเรือนยอดเป็นพุ่มกลมโปร่ง ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อย 3 ใบ ใบกลางจะโตกว่าสองใบด้านข้าง ออกดอกเป็นช่อยาวประมาณ 30-40 เซนติเมตร รูปดอกถั่ว สีแดงเข้ม ออกดอกระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ผลเป็นฝักยาว 15-30 เซนติเมตร
ประโยชน์ : เปลือกลำต้น ใช้เปลือกลำต้นสด นำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยาแก้โรคตับ แก้ไข้ แก้ปวด บวมตามข้อ และแก้ปวดได้ทุกชนิด หรือนำมาบดให้เป็นผงละเอียดแล้วใช้น้ำผสมเล็ก น้อยแล้วนำมาอุดฟัน แก้ปวดฟัน เป็นต้นใบ ใช้ใบสดนำมาต้มเอาน้ำกิน เป็นยาแก้ไข้ แก้โรคบิด แก้ปวดเมื่อยตามไขข้อ แก้ปวดท้องเป็นยาขับพยาธิแก้ปวดท้อง ปวดฟัน แก้อาเจียน เป็นยาขับประจำเดือน กระต้นให้อยากอาหาร และยาใช้เป็นยานอนหลับได้ดี เป็นต้นดอก ใช้ดอกสด นำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยาขับระดูเมล็ด นำเมล็ดมาตำให้ละเอียดเป็นผง หรือนำมาต้มน้ำกิน เป็นยาแก้พิษงู เป็นยาขับ ระดู รักษามะเร็ง และฝี เป็นต้น<เปลือกราก นำมาต้มเอาน้ำกิน เป็นยากระตุ้นหัวใจ กระตุ้นไขสันหลัง และทำให้ความดันโลหิตในเส้นโลหิตแดงเพิ่มขึ้น และรักษาอาการไอเกร็งเนื่องจากโรคหอบหืดหรือขั้วปอดอักเสบ เป็นต้น

ชื่อ : กล้วยบัว
ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Musa ornataRoxb
ลักษณะ : เป็นไม้ล้มลุก  ถิ่นอาศัยเป็นพืชบก ขึ้นอยู่กลางแจ้ง   ความสูง  2  เมตร  ความกว้างทรงพุ่ม  1.5   เมตร  รูปร่างทรงพุ่มรูปไข่  ลำต้นใต้ดินเป็นเหง้า    ผิวลำต้นเทียม คือกาบใบเรียบ      ลำต้นสีน้ำตาล  มียางใส  ใบเป็นใบเดี่ยว  เรียงสลับแบบบันไดเวียน ใบอ่อนสีเขียวอ่อน  ใบแก่สีเขียวเข้ม  ขนาดแผ่นใบกว้าง  8-10  เซนติเมตร  ยาว  1  เมตร ลักษณะพิเศษของใบ  ใบมีขนาดใหญ่  ท้องใบมีคราบนวลขาวคลุม  เส้นกลางใบเป็นเส้นใหญ่ด้านบนเป็นร่อง  ด้านล่างโค้งนูนเป็น รูปร่างแผ่นใบเป็นรูปขอบขนาน  ปลายใบแหลม  โคนใบมน  ขอบใบเรียบ  เป็นดอกช่อ  ก้านช่อดอกแทงออกจากกลุ่มก้านใบ  ดอกมีสีชมพูอมม่วง   กลีบเลี้ยงติดกันมี  3  กลีบ  บางและค่อนข้างใส  กลีบดอก 3 กลีบแยกกัน  บางใส เกสรเพศผู้มี  6  อัน    เกสรเพศเมียมี  1  อัน  ตำแหน่งรังไข่ใต้วงกลีบ  ดอกมีกลิ่นฉุน  ผลเป็นผลสด ผลอวบ ผิวผลสีเขียวอมเทานวล ๆ เมื่อแก่สีเขียวนวล ผลแข็ง ผลสุกผิวผลเปลี่ยนเป็นสีเหลือง  ผลอ่อนมีสีเขียว  ผลแก่มีสีเหลือง  รูปร่างของผลเป็นรูปรีแกมขอบขนาน กว้างประมาณ 2 เซนติเมตร ยาว ประมาณ 6 เซนติเมตร เมล็ดสีดำเป็นเหลี่ยมและแบน ขนาดประมาณ 2.5 เซนติเมตร
ประโยชน์ : แพทย์ตามชนบทจะใช้กาบหัวปลี ผล และรากเหง้าของกล้วยบัวสีชมพู เป็นยาแก้ท้องเสียในเด็กได้เป็นอย่างดี

ชื่อ : น้อยหน่า
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Annonasquamosa Linn
ลักษณะ : น้อยหน่าเป็นไม้ยืนต้น สูง 3-5 เมตร ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปใบหอกแกมขอบขนาน กว้าง 3-6 ซม. ยาว 7-13 ซม. ดอกเดี่ยว ออกที่ซอกใบ ห้อยลง กลีบดอกสีเหลืองแกมเขียว 6 กลีบ เรียง 2 ชั้น ชั้นละ 3 กลีบ หนาอวบน้ำ มีเกสรตัวผู้และรังไข่จำนวนมาก ผลเป็นผลกลุ่ม ค่อนข้างกลม เมล็ดสีดำ มีจำนวนมาก
ประโยชน์ :ใบสดและเมล็ดน้อยหน่าสามารถใช้ฆ่าเหา และ โรคกลากเกลื้อน โดยเอาใบน้อยหน่าสดมาคั้นเอาแต่น้ำ แล้วพอกหัว ภายใน 7 วัน กลากเกลื้อนและเหาก็จะหาย เป็นเหา ซึ่งมีวิธีรักษาอยู่ 2 วิธีคือนำใบน้อยหน่าประมาณ 3-4 ใบมาบดหรือตำให้ ละเอียดแล้วคลุกกับเหล้า 28 ดีกรี คลุกให้เคล้ากันจนได้กลิ่นน้อยหน่า แล้วนำมาทาหัวให้ทั่ว เอาผ้าคลุมไว้สัก 10-30 นาทีและเอาผ้าออกใช้หวีสาง เหาก็ตกลงมาทันทีนำใบน้อยหน่า 7-8 ใบ มาตำให้ละเอียดแล้วผสมกับน้ำทาหัวทิ้งไว้สักครู่ แล้วล้างออก ซึ่งจะช่วยทำให้ไข่ฝ่อ และฆ่าเหาได้ และ แก้ขับพยาธิลำไส้ ฆ่าเหา แก้หิด แก้กลากเกลื้อน และแก้ฟกบวม ราก เป็นยาระบาย ทำให้อาเจียน และแก้พิษงู ถอนพิษเบื่อเมา เปลือกต้น เป็นยาสมานลำไส้ สมานแผล แก้ท้องร่วง แก้พิษงู แก้รำมะนาด ยาฝาดสมาน ผล ผลดิบ จะเป็นยาแก้พิษงู แก้ฝีในคอ กลาก เกลื้อน ฆ่าพยาธิ ผิวหนัง และผลแห้ง แก้งูสวัด เริม แก้ฝีในหู ใบน้อยหน่ามีสารแอลคาลอยด์ แอนโนเนอีน (anonaine) และเรซิน (resin) ในเมล็ดมีน้ำมันอยู45% ซึ่งเป็นพิษกับด้วงปีกแข็ง เพลี้ยอ่อนแมลงวัน และมวนปีกแข็ง สารสกัดเมทานอลของใบน้อยหน่าเป็นพิษต่อไรทะเล และใบน้อยหน่ายังเป็นพิษต่อเพลี้ยอ่อนถั่วโดยมี LC50 2,089.30 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร

ชื่อ : ปีบ
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Millingtoniahortensis
ลักษณะ : ปีบเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่มีความสูงประมาณ 10-20 เมตร ผลัดใบ เรือนยอดเป็นพุ่มทรงกระบอก กิ่งก้านมักจะย้อยลง เปลือกสีน้ำตาลแตกเป็นร่องลึกตามยาวลำต้นอย่างไม่เป็นระเบียบ ใบประกอบแบบขนนก 2-3 ชั้น เรียงเวียน ช่อแขนงด้านข้างมี 3-5 คู่ ปลายคี่ เรียงตรงข้าม ใบย่อยแขนงละ 2-4 คู่ เรียงตรงข้าม ใบรูปไข่หรือรูปไข่แกมใบหอก กว้าง 2-3 ซม. ยาว 4-8 ซม. ปลายแหลม โคนใบมน ขอบใบหยักมนหรือเว้าเป็นคลื่นเล็กน้อย ดอกมีสีขาวหรือชมพู มีกลิ่นหอม ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกซ้อนตามปลายกิ่ง ช่อดอกขนาดใหญ่ ยาว 10-35 ซม. มีขน กลีบเลี้ยงมีขนาดเล็ก โคนติดกันเป็นรูปถ้วย ปลายแยก 5 แฉก ปลายมนกว้างม้วนลง เป็นหลอดยาวปลาย 4 แฉก มี 1 กลีบที่ปลายเป็น 2 แฉก ดอกบานเต็มที่กว้าง 3.5-4 ซม. ผลแห้งแตก เป็นฝักแบนและตรง สีน้ำตาล หัวท้ายแหลม กว้าง 1.5-2.3 ซม. ยาว 25-30 ซม. เมล็ดแบนมีปีกบาง
ประโยชน์ : ดอกตากแห้งนำมาม้วนเป็นบุหรี่สูบ รักษาริดสีดวงจมูก และมีสาร hispidulinมีฤทธิ์ในการขยายหลอดลมรักษาอาการหอบหืด[2] สารสกัดจากใบที่สกัดด้วยเอทานอลสามารถยับยั้งการเจริญของคะน้าได้

ชื่อ : ตะแบกนา
ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Lagerstroemia calyculataKurz 
ลักษณะ : ต้นไม้ผลัดใบ สูง 15 - 30 เมตร ใบเดี่ยว ออกตรงข้ามหรือเยื้องกันเล็กน้อยใบอ่อนสีแดงมีขนสั้นอ่อนนุ่มปกคลุม ใบแก่ขนจะหลุดหายไป แผ่นใบรูปขอบขนานแกมรูปหอก กว้าง 5 - 7 เซนติเมตร ยาว 12 - 20 เซนติเมตร ปลายใบเป็นติ่งแหลม โคนสอบ ดอกสีม่วงอมชมพูต่อมาเปลี่ยนเป็นสีขาวหรือเกือบขาว ออกรวมกันเป็นช่อตามปลายกิ่ง ผล รูปรี ยาวประมาณ 2 เซนติเมตร ออกดอก กรกฎาคม - กันยายน ไม่แน่นอนแล้วแต่สภาพพื้นที่และสิ่งแวดล้อม เก็บเมล็ดได้ประมาณเดือน ธันวาคมขึ้นไป ผลแก่ จะแตกเพื่อโปรยเมล็ดในราวเดือน มีนาคม การขยายพันธุ์โดยเมล็ด
ประโยชน์ : เนื้อไม้ละเอียดแข็ง ใจกลางมักเป็นโพรง ใช้ทำสิ่งปลูกสร้างที่รับน้ำหนัก เสา กระดานพื้น และเครื่องมือการเกษตร และนิยมปลูกเป็นไม้ประดับ
ชื่อ : หางนกยูงฝรั่ง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Delonixregia(Hook.) Raf. 
ลักษณะ : เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ต้นโตเต็มที่สูงราว 12 - 18 เมตร เรือนยอดแผ่กว้างทรงกลมคล้ายร่ม แผ่กิ่งก้านออกคล้ายก้ามปู แต่มีขนาดเล็กกว่า ลำต้นเกลี้ยง เปลือกสีน้ำตาลอ่อนอมขาวถึงสีน้ำตาลเข้ม โคนต้นเป็นพูพอน มักมีรากโผล่พ้นดินออกโดยรอบเมื่อโตเต็มที่ ใบเป็นใบประกอบขนนกสองชั้นเรียงเวียนสลับและมีใบย่อยเรียงตรงข้ามกัน ขนาดใบย่อยใกล้เคียงกับใบย่อยของมะขาม แผ่นใบรูปขอบขนาน ปลายกลมโคนเบี้ยว ผิวใบเกลี้ยง เป็นพืชผลัดใบ ในประเทศไทยมักผลัดใบในฤดูร้อนช่วงเดือนมีนาคมถึงมิถุนายน
ออกดอกดกและทิ้งใบทั้งต้น เหลือแต่ดอกบานสะพรั่งดูงดงามเป็นพิเศษ ช่อดอกออกตามปลายกิ่ง และตามง่ามใบใกล้ปลายกิ่ง ประกอบด้วยกลีบดอก 5 กลีบ และเกสรตัวผู้ยาวงอนออกมาเหนือกลีบดอก กลีบดอกหางนกยูงความจริงประกอบด้วยสี 2 สี คือสีแดงและสีเหลือง แต่ส่วนใหญ่จะมี 2 สีนี้อยู่ด้วยกันจึงเห็นเป็นสีแสด ดอกใดที่สีเหลืองมากกว่าก็เป็นสีแสดออกเหลือง ดอกใดสีแดงมากกว่าก็เป็นสีแสดออกแดง แต่ก็มีหางนกยูงบางต้นออกดอกสีแดงแท้ๆ และบางต้นออกดอกสีเหลืองบริสุทธิ์ซึ่งหาได้ยาก โดยทั่วไปจึงพบแต่หางนกยูงฝรั่งสีแสด ทั้งนี้ผลของหางนกยูงฝรั่งเป็นฝักแบนโค้งรูปดาบ และเมล็ดเรียงตามขวาง การขยายพันธุ์ใช้เมล็ดเป็นหลัก และสามารถใช้วิธีติดตา ต่อกิ่ง เสียบยอด (ที่จะทำให้ไม่กลายพันธุ์) และขึ้นได้ดีในดินทั่วไป
ประโยชน์ : รากนำมาต้มหรือทอดรับประทานกับอาหาร เป็นยาขับโลหิตในสตรี แก้อาการบวมต่าง ๆ ลำต้นนำมาฝนทาแก้พิษ ถอนพิษสัตว์ต่อยกัดได้เมล็ดอ่อนของหางนกยูงฝรั่งนำมากินสด ๆ ได้ สำหรับเมล็ดแก่ต้องนำมาทำให้สุกเสียก่อนจึงจะใช้กินได้ เพราะมีสารประกอบบางชนิดที่เป็นพิษ แต่จะถูกทำลายด้วยความร้อน ดอกสามารถนำมาไล่แมลงวีได้

ชื่อ : ศรีตรัง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Brazilian rose wood, blue jacaranda, blue trumpet tree
ลักษณะ :  เป็นไม้ยืนต้น วงศ์เดียวกับชมพูพันธุ์ทิพย์ สูงประมาณ 4-10 เมตร จากวิกีพีเดียบอกว่า เจ้าต้นศรีตรังนี้มี 2 ชนิดด้วยกัน คือ ชนิดที่มีช่อดอกที่ปลายยอด กับชนิดที่มีช่อดอกออกตามซอกใบตามกิ่งก้านและปลายยอด ซึ่งเป็นชนิดที่นิยมปลูกกันในบ้านเรา ทรงพุ่มค่อนข้างโปร่ง ถ้าจะปลูกไว้เป็นร่มเงาอาจจะพึ่งพาอะไรไม่ได้มากค่ะ เพราะเวลาที่เขาออกดอก เขาจะทิ้งใบทั้งต้นเหลือแต่ดอกไว้อย่างเดียว
ประโยชน์ : คนจะนิยมปลูกเป็นไม้ประดับlสำหรับบ้านที่พอมีพื้นทีสวนแล้วอาศัยกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ลอยมากับลม หรือบางคนก็ปลูกริมรั้ว ในต่างประเทศจะนิยมปลูกข้างทางเรียงเป็นทิวแถวไปตามแนวถนนค่ะ ตอนออกดอกก็ดูสวยดี แต่พอถึงตอนดอกร่วงโรยนี่ซิ ร่วงเต็มพื้นเช่นเดียวกัน โคนต้นจะกลายเป็นสีม่วงไปหมด ต้องเก็บกวาดดอกที่ร่วงกันยกใหญ่เพราะถ้าปล่อยให้เน่าก็ไม่ค่อยไม่น่ามองเท่าไหร่ นอกจากนี้ ชาวอียิปต์โบราณยังใช้ไม้จากต้นศรีตรังเอาไปทำเปียโน ส่วนน้ำที่คั้นได้จากดอกยังมีสรรพคุณทางการแพทย์ ช่วยยั้บยั้งการเติบโตของเชื้อโรคได้อีกด้วย

ชื่อ : ไทรทอง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ficusaltissima Blume
ลักษณะ :  ต้น  เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่  สูง  2.5-3 เมตร  มีพูพอน  เปลือกต้นสีน้ำตาลอมเทาแตกกิ่งกระจายรอบต้น  พุ่มทรงกลม ค่อนข้างหนาทึบ  มีน้ำยางสีขาว  รากอากาศเหนียวใบ  เดี่ยว  รูปไข่ กว้าง 10  ซม. ยาว 18 ซม. สีเขียวเข้ม  มีหูใบหุ้มยอด ใบอ่อนสีเขียวสดเป็นมัน  หูใบหุ้มยอดอ่อนไว้ดอก  ดอกช่อ  ไม่มีก้านดอก  โคนช่อดอกมีใบประดับขนาดเล็ก 3 ใบรองรับช่อดอก ฝัก/ผล  ออกเป็นคู่ ไม่มีก้าน สุกแล้วอ่อนนุ่ม  สีเหลือง แต่ละผลมีเนื้อบางๆ และมีเมล็ด 1 เมล็ด
ประโยชน์ :  ไม้ประดับราก อากาศใช้ทำเชือก ต้น ใช้เลี้ยงครั่ง เปลือก ชั้นในใช้ทำกระดาษ

ชื่อ : เกด
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Manilkarahexandra
ลักษณะ :  เป็นต้นไม้ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีน้ำยางขาว สูง 15-25 เมตร เรือนยอดแน่นทึบเป็นพุ่มกลม ลำต้น และกิ่งมักคดงอ เปลือกนอกสีน้ำตาลอมเทาหรือสีคล้ำ แตกเป็นสะเก็ดสี่เหลี่ยมหรือแตกเป็นร่องลึกตามยาว เปลือกในสีแดงอมน้ำตาลหรือชมพู ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับเป็นกลุ่มตอนปลายกิ่ง รูปไข่กลับหรือรูปรีแกมรูปไข่กลับ กว้าง 2.5-6 เซนติเมตร ยาว 5-12 เซนติเมตร ปลายมนกว้าง และหยักเว้า โคนสอบ ขอบเรียบ แผ่นใบหนา ด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน ด้านล่างสีนวล เส้นแขนงใบเรียงขนานกันถี่เห็นไม่ชัด ก้านใบยาว 1.6-2 เซนติเมตร ดอกเดี่ยวหรือเป็นช่อกระจุกสั้น ออกตามง่ามใบและเหนือรอยแผลใบปลายดอกชี้ลง ดอกสีเหลืองอ่อน กลิ่นหอมเล็กน้อย กลีบเลี้ยง 6 กลีบ เรียงเป็น 2 วง วงละ 3 กลีบ กลีบดอกโคนติดกันเป็นหลอดสั้น ๆ ปลายแยกเป็นแฉกรูปใบหอก 6 แฉก เกสรเพศผู้สมบูรณ์และไม่สมบูรณ์อย่างละ 6 อัน เรียงสลับกัน รังไข่มีขนนุ่มทั่วไป ผลกลมรี กว้าง 0.9-1.1 เซนติเมตร ยาว 1.4-2 เซนติเมตร ส่วนบนมีก้านเกสรเพศเมียติดค้างอยู่เป็นติ่งแหลม ฐานผลมีกลีบเลี้ยงที่เจริญขึ้นมารองรับ ผลสุกสีเหลืองหรือเหลืองอมส้ม เนื้อนุ่ม มี 1-2 เมล็ด เมล็ดแข็ง สีน้ำตาลแดงเป็นมัน รูปไข่ ยาว 1-1.5 เซนติเมตร
ประโยชน์ : ผล กินเป็นยาฝาดสมาน และบำรุงกำลัง ผลและเมล็ด ทำให้ผิวหนังอ่อนนุ่ม เมล็ด บรรเทาอาการระคายเคือง รักษาแผลเปื่อย และแผลพุพอง เปลือก เป็นยาแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้เหงือกอักเสบ แก้ไข้ เป็นยาฝาดสมาน และเป็นยาต้านพิษ

ชื่อ : พลับพลึง
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Crinum asiaticum
ลักษณะ : พลับพลึงเป็นพรรณไม้ล้มลุกขึ้นเป็นกอ และมีหัวอยู่ใต้ดิน ลำต้นกลมมีความกว้างประมาณ 15 ซม. และยาวประมาณ 30 ซม.ใบจะออกรอบ ๆ ลำต้น ลักษณะใบแคบยาวเรียว ใบจะอวบน้ำ ขอบใบจะเป็นคลื่น ตรงปลายใบจะแหลม ใบจะมีความยาวประมาณ 1 เมตร และกว้างประมาณ 10-15ซม. ดอกจะออกเป็นช่อ ตรงปลายจะเป็นกระจุกมีประมาณ 12-40 ดอก ตอนดอกยังอ่อนอยู่จะมีกาบเป็นสีเขียวอ่อน ๆ หุ้มอยู่ 2 กาบ ก้านช่อดอกจะมีความยาวประมาณ 90 ซม. ดอกมีความยาวประมาณ 15 ซม. กลีบดอกจะเป็นสีขาว และมีกลิ่นหอม เกสรตัวผู้จะมีอยู่ 6 อัน ติดอยู่ที่หลอดดอกตอนโคน ตรงปลายเกสรมีลักษณะเรียวแหลมยาวเป็นสีแดง โคนเป็นสีขาว ส่วนอับเรณูนั้น จะเป็นสีน้ำตาล ผลเป็นสีเขียวอ่อน และผลค่อนข้างกลม
ประโยชน์ : ใบ คนโบราณจะรู้กันดีว่าสามารถนำมารักษาอาการปวดเมื่อย กล้ามเนื้ออักเสบ คลายเส้น แก้อาการฟกช้ำปวดบวมได้ และยังสามารถนำไปใช้กับคุณแม่ที่เพิ่งคลอด หรืออยู่ไฟได้ โดยเอามาประคบหน้าท้อง ทำให้มดลูกเข้าที่อยู่ตัว น้ำคาวปลาแห้ง ขจัดไขมันส่วนเกิน และขับของเสียต่างๆออกจากร่างกายคุณแม่ที่เพิ่งคลอดได้ด้วย นอกจากนั้นยังมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงกำลัง ขับเสมหะ เป็นยาระบาย ทำให้คลื่นเหียนอาเจียน รักษาโรคเกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะและน้ำดีเมล็ด สามารถขับเลือดประจำเดือนให้ออกมาให้หมดได้ ราก สามารถนำมาตำแล้วพอกแผลก็ได้

ชื่อ : หนวดปลาหมึกแคระ
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Scheffleraarboricola
ลักษณะ : ไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงไม่เกิน 2-3 เมตร (แต่ถ้าปลูกลงดินต้นอาจจะสูงได้มากกว่านี้)   ขนาดทรงพุ่มกว้างไม่เกิน 1 เมตร กิ่งก้านแตกสาขาจนเป็นทรงพุ่มกลม   แต่ถ้าปลูกลงดิน น้ำดี ปุ๋ยถึง ก็มีสิทธิ์สูงได้มากกว่านี้  เพราะฉะนั้นคนที่ปลูกลงดินอาจจะต้องคอยหมั่นตัดเล็มกิ่ง เพื่อรักษาระดับและทรงพุ่มของต้นเอาไว้
ประโยชน์ : ด้วยความที่เป็นไม้โตช้า ไม่ต้องรดน้ำบ่อย อึด ทน  สามารถเจริญเติบโตได้ในแดดรำไรหรือในที่ร่ม ในอาคาร คนจึงนิยมนำมาปลูกลงกระถางประดับอาคาร แต่ถ้าต้องการปลูกลงดินโดยตรง ส่วนใหญ่จะนิยมปลูกในที่มีแดดรำไร เช่น ริมน้ำตก สระว่ายน้ำ ริมทางเดินหรือริมถนน  ส่วนใหญ่จะปลูกเป็นแถว เป็นแนว  แต่ที่เมืองนอก ฝรั่งเขาจะนิยมเลี้ยงเป็นไม้บอนไซกัน 

ชื่อ : สารภี
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Mammeasiamensis T.Anderson
ลักษณะ : จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางไม่ผลัดใบ มีความสูงประมาณ 10-15 เมตร ลักษณะเรือนยอดเป็นทรงพุ่มทึบ แตกกิ่งก้านแผ่กว้าง เปลือกลำต้นเป็นสีเทาอมน้ำตาลถึงดำ แตกล่อนเป็นสะเก็ดตลอดทั่วลำต้น เปลือกในเป็นสีน้ำตาลแดง มียางสีครีมหรือสีเหลืองอ่อนเล็กน้อย ส่วนเนื้อไม้เป็นสีน้ำตาลปนแดง เนื้อละเอียด เสี้ยนตรง ถี่และสม่ำเสมอ แข็ง และค่อนข้างทนทาน สามารถเลื่อย ผ่า และไสกบตบแต่งได้ง่าย ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ดและการตอนกิ่ง ปลูกได้ดีทั้งในที่ร่มรำไรและที่กลางแจ้ง ปลูกได้ในดินทุกสภาพ ชอบดินร่วนซุย ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง มักพบขึ้นตามป่าเบญจพรรณและตามป่าดงดิบทางภาคเหนือ ภาคตะวันออก และทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 20-400 เมตร
ประโยชน์ : ดอกสดและแห้ง-ใช้เข้ายาหอม บำรุงหัวใจ บำรุงเส้นประสาท แก้วิงเวียนหน้ามืด ตาลายและชูกำลังดอกตูม-ย้อมผ้าไหมให้สีแดงผลสุก-รับประทานได้มีรสหวาน

ชื่อ : บุหราส่าหรี
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Citharexylumspinosum L.
ลักษณะ : เป็นไม้ต้นขนาดเล็กอยู่ในวงศ์ Verbenaceaeสูง 3-10 เมตร ทรงพุ่มโปร่ง แตกกิ่งก้านจำนวนมาก ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปใบหอก กว้าง 6-8 ซม. ยาว 10-15 ซม. มีก้านใบสีส้ม มีช่อดอกสีขาว ยาว 10-20 ซม. ออกตามซอกใบและปลายกิ่ง ดอกย่อยมีขนาดเล็ก กลีบดอกติดกัน ตอนปลายแยก 4-5 แฉก เมื่อดอกย่อยบาน มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 ซม. มีกลิ่นหอมแรงในช่วงกลางคืนถึงสายๆ ออกดอกตลอดปี
ประโยชน์ : ใช้เป็นไม้ประดับ ดอกให้กลิ่นหอมมาก

ชื่อ : กระรอกหางแดง
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Acalyphahispida Burm.f.
ลักษณะ : ไม้พุ่ม    สูง 1-3 ม.ใบ ใบเรียงสลับ ใบเดี่ยว รูปไข่ กว้าง 7-15 ซม. ยาว 15-20 ซม. โคนใบมน ปลายใบเรียวแหลม ขอบใบหยักฟันเลื่อย ผิวใบมีขน หลังใบสีเขียวอมน้ำตาล ท้องใบสีอ่อนกว่า มีหูใบแบบ free lateral stipule ดอก ดอกช่อสีแดงออกที่ซอกใบ ดอกแยกเพศ ช่อดอกเพศเมียห้อยลงคล้ายหางกระรอก ยาว 15-20 ซม. ดอกย่อยจำนวนมาก ไม่มีกลีบดอก มีแต่รังไข่และยอดเกสรเพศเมียที่เป็นพู่ห้อยลง ผล ผลขนาดเล็ก เมื่อแก่แตกได้
ประโยชน์ : สามารถปลูกเป็นไม้ประดับตามอาคาร สถานที่ต่างๆเพื่อเพิ่มความสวยงามหรือปลูกไว้เพื่อความร่มเงา
ชื่อ:  เข็ม
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ :  Ixora
ลักษณะ : ลักษณะของดอกจะเกิดจากการอยู่รวมกันเป็นช่อ ๆ มีหลากหลายสี มีคุณค่าทางสมุนไพร ดอกเข็มที่ยังตูมสามารถนำมาชุบแป้งหรือไข่ทอดทานเป็นอาหารได้
ประโยชน์ : คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกเข็มไว้ประจำบ้าน จะทำให้มีความฉลาดเฉียบแหลม เพราะเข็มคือสิ่งที่มีความแหลมคมดังนั้นคนไทยโบราณจึงใช้ดอกเข็มในพิธีไหว้ครูเพื่อจะได้เป็นนักปราชญ์ที่มีสติปัญญาฉลาดเฉียบแหลมนอกจากนี้ยังใช้ดอกเข็มเป็นเครื่องบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และพิธีทางศาสนาได้เป็นสิริมงคลยิ่งนัก เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นเข็มไว้ ทางทิศตะวันออก ผู้ปลูกควรปลูกในวันพุธเพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เพื่อเอาประโยชน์ทั่วไปทางดอก ให้ปลูกในวันพุธ

ชื่อ : ประยงค์
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Aglaiaodorata
ลักษณะ :  ใบมีสีเขียวเข้ม หนา มีใบย่อย 5 ใบ ใบรูปร่างโค้งมนปลายแหลม ออกดอกเป็นช่อ ดอกขนาดเล็กรูปร่างเป็นเม็ดกลม ๆ มี 20-30 ดอกต่อช่อ ดอกมีสีเหลือง
ประโยชน์ : ประยงค์มีใบดกเขียว มีดอกสีเหลืองออกเป็นช่อ และบานจะส่งกลิ่นหอมแรง จึงนิยมปลูกเพื่อเป็นไม้ดอกไม้ประดับดอกประยงค์มีกลิ่นหอม นิยมใช้อบเสื้อผ้าหรือใช้ผสมในการหุงข้าว ซึ่งช่วยให้ผ้าหรือข้าวหุงมีกลิ่นหอมขึ้นดอกประยงนำมาสกัดน้ำมันหอมระเหยสำหรับเป็นส่วนผสมของน้ำหอม หรือ ใช้ทานวดบนบรรเทาอาการปวดเมื่อยประยงค์มีลำต้นเตี้ย ใบดก ทรงพุ่มหนา จึงนิยมปลูกเพื่อเป็นไม้ให้ร่มเงาดอกบานสดหรือดอกแห้ง ใช้วางในห้องนอน ห้องน้ำสำหรับปรับกลิ่นให้หอม ช่วยดับกลิ่นเหม็นของกลิ่นต่างๆสารสกัดหรือน้ำต้มจากใบประยงค์ใช้รดแปลงผัก ช่วยป้องกันแมลงศัตรูพืช ซึ่งมีสาร rocaglamideที่สามารถออกฤทธิ์ป้องกันการกัดกินของแมลงได้ โดยเฉพาะหนอนกระทู้ชนิดต่างๆ
สารสกัดจากใบ และดอก ใช้ยับยั้งการงอกของเมล็ดพันธุ์พืชบางชนิดได้

ชื่อ : เฟื่องฟ้า
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ :  Bougainvillea
ลักษณะ : ไม้ยืนต้นประเภทพุ่มกึ่งเลื้อย ขนาดตั้งแต่พุ่มเล็กถึงพุ่มใหญ่ มีหนามขึ้นตามลำต้นอยู่ ใบเดี่ยว แตกออก สลับกับกิ่ง หรือเยื้องกัน มีขนขึ้นปกคลุมเล็กน้อย มีสีเขียวหรือใบด่าง รูปร่างรีแหลมยาว 3-6 ซม. กว้าง 2-3 ซม. ใบประดับลักษณะคล้ายรูปหัวใจหรือรูปไข่มี 3-5 ใบ มีหลายสี เช่น ม่วง แดง ชมพู ส้ม ฟ้า เหลืองและอื่นๆ มีทั้งดอกสมบูรณ์เพศและไม่สมบูรณ์เพศ ออกเป็นช่อ ตามซอก ใบหรือปลายกิ่ง แต่ละช่อมี 3 ดอก เป็นหลอดยาว 1-2 ซม.
ประโยชน์ : ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ ดอกสวยมีหลายสีจากหลากหลายสายพันธุ์ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับเป็นซุ้มไม้เลื้อย เป็นซุ้มนั่งเล่น ปลูกในที่สาธารณะ สวนข้างทางเดิน ปลูกเป็นแนวรั้ว ปลูกเป็นไม้กระถาง หรือทำเป็นไม้บอนไซหรือไม่แคระ สามารถตัดแต่งทรงพุ่มได้ ดูแลรักษาได้ง่ายและทนความแล้งได้ดี เมื่อมีอากาศเย็นจะมีออกดอกเต็มต้น แต่ไม่ควรนำไปปลูกไว้ใกล้กับสนามเด็กเล่นเพราะมีหนามแหลม



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น